ตั้งแต่ลูกสาวเรียนในระดับชั้น Middle School เราเริ่มคุยกันถึงอนาคตการเรียนในมหาวิทยาลัย โดยเราสนับสนุนให้เขาเป็นคนตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยเอง และเราเป็นผู้ช่วยในเรื่องการหาข้อมูล เราชอบเล่าประสบการณ์เรื่องการไปเรียนในต่างประเทศให้เขาฟัง และดูเขาก็สนใจที่จะไปเรียนต่างประเทศมากขึ้นทีละนิด เรารู้แน่อย่างหนึ่งว่าลูกสาวจะ suffer น้อยกว่าเรามากในเรื่องการเรียนเป็นภาษาอังกฤษ เพราะเรียนโรงเรียนนานาชาติมาตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก แต่แน่นอนในเรื่องการปรับตัวและการช่วยเหลือตัวเอง จะเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับเขา ปีที่ลูกเรียนจบ Middle School เพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็ไปเรียนต่อแคนาดา High School ในระดับ High School จากการที่เด็กทั้งสองคนยังคุยกันออนไลน์เป็นประจำ ทำให้ลูกสาวได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับแคนาดามากขึ้น “และเริ่มสนใจประเทศนี้ในฐานะจุดหมายในการไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย”

ตอนที่ลูกเรียนอยู่เกรด 12 เทอมต้น ทางโรงเรียนของลูกได้จัด College Fair โดยมีตัวแทนจากมหาวิทยาลัยทั่วโลก มาเปิดบูธให้คำแนะนำและตอบคำถามต่าง ๆ ให้เด็กนักเรียนในโรงเรียน

ในวันนั้นเราและลูก ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยในแคนาดาเพิ่มมากขึ้น และเรานึกขึ้นได้ว่ามีพี่ที่ทำงานเก่า ส่งลูกสาวไปเรียนปริญญาตรีที่แคนาดาเหมือนกัน เราจึงโทรไปปรึกษาและพี่คนนั้นก็เสนอว่า จะให้ลูกสาวซึ่งเรียนจบกลับมาประเทศไทยแล้ว โทรมาคุยกับลูกสาวของเรา หลังจากที่คุยกับรุ่นพี่แล้ว ลูกก็เริ่มเทใจไปแคนาดามากกว่าครึ่ง เราและลูกช่วยกันหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเทศแคนาดาเพื่อประกอบการตัดสินใจ จึงขอนำข้อมูลดังกล่าวมาแชร์กับน้อง ๆ และคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหาที่เรียนอยู่ หวังว่าบทความ “ทำไมถึงเลือกให้ลูกไปเรียนต่อแคนาดา!?” จะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยค่ะ

แคนาดาเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูง

The Global Peace Index โดย The Institute for Economics and Peace จัดให้ “แคนาดาอยู่ใน 10 Most Peaceful Countries ในปี 2021” โดยวัดจากระดับความขัดแย้งภายในประเทศและระหว่างประเทศที่มีอย่างต่อเนื่อง และวัดจากมาตรการความปลอดภัยและความมั่นคงต่าง ๆ ทางสังคมและทางการทหาร เรื่องความปลอดภัยนี้ เป็นปัจจัยต้น ๆ ที่ทำให้หลายครอบครัวเลือกที่จะอพยพไปอยู่ที่ประเทศแคนาดา

นอกจากนี้ แคนาดายังมีกฎหมายการถือครองอาวุธปืนที่เข้มงวดมาก การที่พลเมืองแคนาดาทั่วไปจะเป็นเจ้าของปืนนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จริงแล้วกฎหมายไม่อนุญาตให้ประชาชนซื้อและเป็นเจ้าของปืนได้ แต่สำหรับเพียงไม่กี่คนที่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษให้เป็นเจ้าของปืนนั้น จะมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น ต้องผ่านการฝึกอบรมและมีการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด ซึ่งกฎหมายการถือครองอาวุธปืนที่เข้มงวดสูงนี้ คือเหตุผลที่แคนาดามีอัตราการฆาตกรรมและอาชญากรรมโดยอาวุธปืนต่ำมาก

แคนาดาเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูง - เรียนต่อแคนาดา เรียนต่อประเทศแคนาดา
แคนาดาเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศและทิวทัศน์ที่สวยงาม รวมไปถึงความปลอดภัยสูง ถือเป็นจุดหมายในการเรียนต่อที่น่าสนใจ

สำหรับผู้รักษากฏหมายซึ่งก็คือกรมตำรวจของแคนาดานั้น ได้มีมาตรการเชิงรุกในเรื่องการรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชน โดยเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้าหน้าที่และชุมชน โฟกัสการป้องกันอาชญากรรมมากกว่าการปราบปราม เมื่อประกอบกับการที่แคนาดาเป็นประเทศที่ประชากรมีคุณภาพ มีความพึงพอใจในความเป็นอยู่สูง และอัตราการว่างงานต่ำตามรายงานของ OECD Better Life Index จึงทำให้เป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงประเทศหนึ่ง

แคนาดาเป็นประเทศที่มีความเป็นพหุวัฒนธรรมสูง

ในปี 1971 แคนาดาเป็นประเทศแรกในโลกที่ประกาศใช้ “นโยบายความหลากหลายทางวัฒนธรรม” อย่างเป็นทางการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความหลากหลายของประชากร มีคุณค่าทางการเมืองและทางสังคมของแคนาดาเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรี พีแอร์ ทรูโด

ในปี 1982 รัฐธรรมนูญของแคนาดาได้รับรองกฎบัตรแห่งสิทธิและเสรีภาพที่คุ้มครองความหลากหลายทางวัฒนธรรม พระราชบัญญัติพหุวัฒนธรรมของแคนาดาถูกนำมาใช้ในปี 1988 เพื่อสนับสนุนการรักษารากวัฒนธรรม ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในประเทศ

มีการคาดการณ์ว่าความหลากหลายของประชากรแคนาดาจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอีกสองทศวรรษข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองใหญ่ๆ จากการสำรวจของรัฐบาลแคนาดา มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2031 ประมาณ 25 ถึง 28 เปอร์เซ็นต์ของประชากรแคนนาดาจะเป็นผู้ที่เกิดในต่างประเทศ และ 29 ถึง 32 เปอร์เซ็นต์ของประชากรจะเป็นชนกลุ่มน้อย โดยคาดว่าชนกลุ่มน้อยจะมีสัดส่วนประมาณ 63 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในโตรอนโต 59 เปอร์เซ็นต์ในแวนคูเวอร์ และ 31 เปอร์เซ็นต์ในมอนทรีออล

นโยบายความหลากหลายทางวัฒนธรรม - เรียนต่อ Canada
นโยบายความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทำให้การเรียนต่อแคนาดานั้นสามารถปรับตัวได้ไม่ยากนัก

ความหลากหลายในแคนาดา ไม่ได้เน้นแค่เรื่องเชื้อชาติ แต่ขยายไปครอบคลุมความแตกต่างด้าน ภาษา เพศ ศาสนา เพศสภาพ ความพิการ และสถานะทางเศรษฐกิจ นายจ้างชาวแคนาดาจะมีนโยบายการจ้างงาน เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทของตนเป็นตัวแทนของประชากรแคนาดาที่มีความหลากหลาย “และด้วยจำนวนนักศึกษาต่างชาติมากกว่า 120,000 คนในแต่ละปี” นักเรียนนักศึกษาจะถูกแวดล้อมไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทั้งในห้องเรียนและในสังคม ซึ่งจะทำให้นักเรียนไม่รู้สึกแปลกแยกจากสังคมรอบข้าง ได้เรียนรู้ในการใช้ชีวิตและปรับตัวอยู่ร่วมกับคนที่มาจากหลากหลายวัฒนธรรม ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ที่ไร้พรมแดนในขณะนี้

มาตรฐานการศึกษาและคุณภาพการศึกษาในระดับสูง

มหาวิทยาลัยของแคนาดามีประวัติอันยาวนาน มีชื่อเสียงในด้านวิชาการและอัตราการได้งานทำของผู้ที่สำเร็จการศึกษาสูง โดยสามารถแข่งขันกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกได้ จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกที่เผยแพร่โดย Times Higher Education ซึ่งเป็นการจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษาทั่วโลกทุกปี ได้เปิดเผยข้อมูลของมหาวิทยาลัยชั้นนำ 3 อันดับในแคนนาดา คือ

  • University of Toronto ว่าได้รับการจัดอันดับอยู่ที่ 18 ของโลก
  • University of British Columbia ได้รับการจัดอันดับที่ 34 ของโลก และ
  • McGill University ได้รับการจัดอันดับที่ 40 ของโลก

“โปรแกรมการศึกษาส่วนใหญ่ของมหาวิทยาลัยในแคนาดามุ่งเน้นไปที่การทำวิจัย” และนักศึกษาจะได้มีส่วนร่วมในการทดลองและเข้าร่วมในโครงการต่าง ๆ ที่ตนเองสนใจ ซึ่งจะได้รับประสบการณ์ที่อิงจากนวัตกรรมและการคิดแบบมองไปข้างหน้า งานวิจัยที่ทำโดยมหาวิทยาลัยจากประเทศแคนาดา ได้นำไปสู่ทฤษฎีและการค้นพบใหม่ ๆ หลายอย่าง เช่น การค้นพบอินซูลิน การพัฒนาอุปกรณ์ที่ช่วยปรับปรุงการตรวจหามะเร็ง นวัตกรรมในการอนุรักษ์และปกป้องมหาสมุทร การรักษาเอชไอวีหรือโรคเอดส์อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนขึ้น เป็นต้น

แนะนำอ่านต่อ : Top 3 มหาวิทยาลัยในแคนาดา มีสาขาอะไรน่าสนใจบ้าง!?

นอกเหนือไปจากความเป็นเลิศทางวิชาการแล้ว นักเรียนที่จบจากมหาวิทยาลัยในแคนาดายังสามารถขอ post-graduation work permit (PGWP) เพื่อทำงานหาประสบการณ์ในประเทศแคนาดาได้อีกสูงสุด 3 ปี หลังจบการศึกษา ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้การทำงานในองค์กรบริษัทต่าง ๆ ของประเทศแคนาดาอีกด้วย

การจัดการเรื่องวัคซีนในแคนาดา

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ยังลังเลเรื่องการส่งลูกไปเรียนในต่างประเทศ ก็คือเรื่องการแพร่ระบาดของ Covid-19 ทั่วโลกในขณะนี้ แต่แคนาดาเป็นประเทศหนึ่งที่มีการบริหารจัดการเรื่อง Vaccine Rollout อย่างมีประสิทธิภาพเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยมีจำนวนผู้ได้รับวัคซีนในประเทศมากเป็นอันดับที่ 8 ของโลก มีประชากรที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว 70.40% และประชากรที่ได้รับวัคซีนทั้ง 2 เข็มแล้ว 59% โดยวัคซีนที่ประชากรได้รับมากที่สุดคือ Pfizer-BioNTech รองลงมาคือ Moderna และ AstraZeneca ตามลำดับ

Coronavirus Disease (COVID-19) Pandemic : การระบาดของโรคที่เกิดขึ้นทั่วโลก หรือในพื้นที่เป็นวงกว้างอย่างยิ่ง ข้ามเขตแดนระหว่างประเทศ และมักส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก (ระบาดวิทยา 101)

เวบไซต์ New York Times Corona Virus Tracking ให้ข้อมูลว่าประเทศแคนาดามีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนและคนที่พำนักอยู่ในแคนาดาแล้ว 49,920,544 โดส หรือ 133 เข็มต่อ 100 คน จากข้อมูลการบริหารจัดการวัคซีนในประเทศแคนาดานั้น สามารถทำให้ผู้ปกครองมั่นใจได้มากขึ้น ในการส่งลูกไปเรียนต่อแคนาดาค่ะ

จุดหมายคือประเทศแคนาดา

หลังจากพิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้าน ทั้งในแง่ความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องการยอมรับความหลากหลาย ของคนที่มาจากต่างชาติและวัฒนธรรม ทั้งเรื่องคุณภาพของระบบการศึกษา และความเสี่ยงในเรื่องการระบาดของโควิด-19 แล้ว ลูกสาวจึงตัดสินใจที่จะสมัครเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในประเทศแคนาดา แต่จะเรียนที่เมืองไหน มหาวิทยาลัยใดนั้น ยังต้องมีการหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกพอสมควร ซึ่งเราจะมาแชร์รายละเอียดในเรื่องนี้ให้ฟังในตอนต่อไปค่ะ

บทความแนะนำจากผู้เขียน : ประสบการณ์นักเรียนนอกที่เมือง Brisbrane