ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ คุณพ่อคุณแม่หลายท่านคงเคยได้ยินคนพูดถึง “STEM” หรือ “สะเต็มศึกษา”  แนวทางการศึกษาแบบผสมผสานที่ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้นในทุก ๆ ปี แต่รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้ว STEM คืออะไรกันแน่!? และมีความน่าสนใจอย่างไรในยุคดิจิทัล เราจะพาไปหาคำตอบที่จะคลายทุกความสงสัยในบทความนี้กัน

สะเต็มศึกษา (STEM Education) คืออะไร?

การศึกษาในรูปแบบสะเต็ม เป็นการศึกษาแบบผสมผสาน เพื่อให้ตอบโจทย์การนำไปใช้จริงในโลกดิจิทัล  มาจากการนำเอาหัวใจหลักของ 4 สาขาวิชามาผสมผสานกันให้กลายเป็นหนึ่งเดียว โดยทั้ง 4 วิชาที่นำมาใช้ใน STEM ประกอบไปด้วย

  • S (Science) นำกระบวนการเรียนรู้แบบวิทยาศาสตร์มาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถาม การตั้งสมมติฐาน ไปจนถึงการค้นคว้า ทดลองเพื่อพิสูจน์ความจริง
  • T (Technology) นำเทคโนโลยีมาเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น
  • E (Engineering) นำความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานอย่างสูงสุด
  • M (Mathematics) พื้นฐานการคำนวณเป็นการฝึกใช้ความคิดอย่างมีตรรกะ อีกทั้งยังเป็นองค์ความรู้สำคัญเพื่อต่อยอดการเรียนรู้วิชาวิศวกรรมศาสตร์อีกด้วย

“สะเต็มศึกษา” พลิกโฉมการเรียนรู้ด้วยวิธีที่แตกต่าง

หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ได้รู้จักนิยามเบื้องต้นเกี่ยวกับสะเต็มศึกษากันไปบ้างแล้ว ซึ่งก็คือการนำเอา 4 วิชาสำคัญในโลกแห่งอนาคตมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งก็ไม่ใช่สาขาวิชาที่แปลกใหม่แต่อย่างใด เพียงแต่ว่าในระบบการศึกษาที่เป็นอยู่แต่ก่อนนั้น มักจะสอนทั้ง 4 วิชานี้ แยกออกจากกัน แต่รู้หรือไม่!? ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วคงเป็นไปไม่ได้ที่จะแยก 4 วิชานี้ออกจากกัน

ในการทำงานล้วนต้องนำทักษะความรู้ทั้ง 4 สาขานี้มาประยุกต์ใช้รวมกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เป็นจุดกำเนิดของการพัฒนาเทคโนโลยี และเมื่อเทคโนโลยีถูกนำไปใช้ให้เข้ากับวิศวกรรมศาสตร์ ก็จะก่อให้เกิดนวัตกรรมสุดล้ำที่ใช้งานได้จริง

STEM คืออะไร? น่าสนใจอย่างไร stem education คือ
STEM จะเน้นส่งเสริมให้เด็กกล้าทดลองได้เผชิญหน้ากับการลองผิดลองถูกจนเจอวิธีที่ใช่

จะเห็นได้ว่า “สะเต็มศึกษา” ไม่ใช่แค่เพียงการผสมผสาน แต่เป็นการพลิกโฉมการศึกษาให้สามารถนำมาใช้ในชีวิตจริงได้มากที่สุด ข้อดีของการเรียนรู้แบบสะเต็ม คือ จะเน้นส่งเสริมให้เด็กกล้าทดลอง ได้เผชิญหน้ากับการลองผิดลองถูกจนเจอวิธีที่ใช่ นำไปสู่การเรียนรู้จากประสบการณ์ด้วยตัวพวกเขาเอง หัวใจสำคัญของสะเต็มศึกษา คือ การใช้ความคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดอย่างมีตรรกะ เปลี่ยนจากการศึกษารูปแบบเดิม ๆ ให้กลายเป็นเรื่องสนุก จึงเป็นวิธีการเรียนรู้ที่น่าสนใจที่จะทำให้เด็กมีกระบวนการเรียนรู้ที่ลึกกว่าทั่ว ๆ ไปอีกด้วย

“สะเต็มศึกษา” น่าสนใจอย่างไร ทำไมเด็ก ๆ ควรได้เรียน

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพียงแค่การปรับตัวตามเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นคงไม่ตอบโจทย์แล้วในยุคนี้ แต่คุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมความพร้อม และฝึกให้ลูกได้รู้เท่าทัน ปรับตัวได้ไว และใช้ได้จริงในโลกดิจิทัล มาดูกันว่า สะเต็มศึกษาน่าสนใจอย่างไร และทำไมเด็ก ๆ ยุคใหม่ควรได้เรียน เราก็ได้แบ่งความน่าสนใจออกเป็น 3 ประเด็นหลักด้วยกัน ได้แก่

ปั้นเด็กให้กลายเป็นอัจฉริยะ ไม่ปิดกั้นทุกความคิด

เชื่อหรือไม่ว่า…แท้จริงแล้วเด็กทุกคนเกิดมาล้วนมีความเป็นอัจฉริยะซ่อนอยู่ แต่แล้วทำไมเมื่อพวกเขาโตมากลับดูเหมือนว่า ความฉลาดที่มีนั้นค่อย ๆ ลดลง จากการพิสูจน์พบว่า ความฉลาดที่ลดลงนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิธีการเรียนรู้แบบท่องจำในระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม

STEM คืออะไร? น่าสนใจอย่างไร
การศึกษาแบบท่องจำเป็นการปิดกั้นกระบวนการเรียนรู้ของเด็กๆ STEM สามารถเข้ามาอุดรอยรั่วนี้ได้

หากลองมองย้อนกลับไปสมัยลูกยังเป็นเด็กก่อนที่จะเข้าสู่ระบบการศึกษา เด็กทุกคนล้วนกล้าคิด กล้าทดลอง ชีวิตพวกเขาสดใสและโลดแล่นอยู่ในจินตนาการ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นานที่ได้ก้าวสู่ระบบการศึกษาอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยกระบวนการบางอย่างที่ใช้การท่องจำในการศึกษา นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ปิดกั้นจินตนาการของเด็ก ๆ โดยไม่รู้ตัว จึงเป็นเรื่องยากที่เด็กจะเชื่อมโยงสิ่งที่พวกเขากำลังเรียนรู้ให้เข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง

สะเต็มศึกษาจึงได้มีการอุดรอยรั่วในระบบการศึกษาแบบดั้งเดิมที่เน้นการท่องจำ โดยเปลี่ยนเป็นการเน้นส่งเสริมให้เด็กได้มีกระบวนการเรียนรู้อย่างธรรมชาติ ไม่ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ ให้เด็กได้ลงมือทำและเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง กลับพบว่าการเรียนรู้รูปแบบนี้เด็ก ๆ สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

มาพร้อมกับโอกาสในการทำงานในโลกแห่งอนาคต

จากการศึกษาโดย Royal Academy of Engineering แห่งสหราชอาณาจักร พบว่ายังมีความต้องการกว่า 1 ล้านสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับสะเต็มศึกษาเพื่อตอบสนองความต้องการของประชากรโลก เท่านั้นยังไม่พอ จากการศึกษาพบว่าทุกวันนี้ยังขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิทยาการคอมพิวเตอร์กว่าอีก 2 ล้านคน 

Engineering habits of mind : What they are and how they can help us develop engineers in schools.

ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่แปลกที่สะเต็มศึกษาจะมอบโอกาสในการทำงานได้อย่างมหาศาลให้กับเด็กในยุคต่อ ๆ ไป และด้วยความที่ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ยังคงขาดแคลนผู้ที่มีความชำนาญเฉพาะทางอย่างวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และคณิตศาสตร์อยู่อีกมาก องค์กรชั้นนำจึงมีความยินดีที่จะทุ่มเงินให้กับผู้ที่มีทักษะความสามารถในสาขาวิชาดังกล่าวสูงมากกว่าทั่วไปด้วยเช่นกัน

STEM กับสุดยอดอาชีพในโลกแห่งอนาคต

จากการทดลองนำสะเต็มศึกษาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในระบบการศึกษา ได้พิสูจน์แล้วว่าการนำหลักสูตรสะเต็มเข้าไปใช้กับเด็ก ๆ พวกเขาจะสามารถเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสามารถอย่างเท่าทันยุคดิจิทัล ซึ่งก็นำไปสู่อาชีพการงานที่เติบโตได้แบบก้าวกระโดดอีกด้วย โดยเส้นทางอาชีพที่ใช้สะเต็มศึกษาก็มีให้เลือกหลากหลายสาขาด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น

  • สาขาคอมพิวเตอร์ คิดเป็น 71%
  • สาขาวิศวกรรมศาสตร์ คิดเป็น 16%
  • สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ คิดเป็น 7%
  • สาขาวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต คิดเป็น 4%
  • สาขาคณิตศาสตร์ คิดเป็น 2%

ทุกสาขาที่เรายกมาก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เป็นที่ใช้ต่อยอดมาจากสะเต็มศึกษา และยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเริ่มต้นที่สูงกว่าอาชีพทั่วไปมากถึง 26% กันเลยทีเดียว หากคุณพ่อคุณแม่เริ่มปลูกฝังลูกตั้งแต่วันนี้ รับรองเลยว่าเด็ก ๆ จะมีอนาคตที่สดใสรออยู่อย่างแน่นอน สามารถศึกษาหรืออ่านเพิ่มเริ่มในเรื่องของ “สะเต็มศึกษา” ได้ที่นี่ –> STEM

จากทั้งหมดข้างต้นที่เราได้เล่าให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง จะเห็นว่า การเรียนรู้ด้วยสะเต็มศึกษานั้นเป็นวิถีแห่งโลกอนาคต บนโลกที่มนุษย์ต้องมีการพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันโลกของเราก็ต้องการผู้พัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ให้ตอบโจทย์ความต้องการของมนุษย์ด้วยเช่นกัน และสะเต็มก็เป็นวิถีแห่งการเรียนรู้ที่จะมาพัฒนาและเปลี่ยนแปลงโลกดิจิทัลใบใหม่ให้เติบโตยิ่งกว่าเดิม

Owl Campus Team