หากพูดถึงการเรียนต่อในต่างประเทศ คงเป็นสิ่งที่อยู่ในฝันของใครหลายคน โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา อังกฤษหรือแม้แต่ในทวีปยุโรป การได้ไปเรียนต่อในประเทศที่กล่าวมาถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งในชีวิต
แต่มีอยู่อีกประเทศหนึ่งซึ่งหากไปเรียนแล้ว ก็มีอนาคตที่สดใสไม่แพ้การเรียนต่อในโลกตะวันตกเลย ประเทศนั้นก็คือ ประเทศจีน การเรียนต่อที่ประเทศนี้มีข้อดีอยู่หลายประการเลย เรามาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
ข้อนี้เป็นความสำคัญระดับโลกเลยก็ว่าได้ เพราะเศรษฐกิจจีนนั้นกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นสุดๆ และกำลังท้าทายมหาอำนาจเบอร์ 1 อย่างสหรัฐอเมริกาในทุกๆด้าน ดังนั้น การที่เศรษฐกิจจีนขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับมหาอำนาจเก่าย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าหากประเทศใดไม่มีขุมพลังทางปัญญาและนวัตกรรมที่สุดยอดจริงๆ คงไม่อาจลุกขึ้นมาท้าทายสหรัฐอเมริกาได้ “การศึกษา” จึงเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญแห่งการก้าวขึ้นมาของประเทศจีนอย่างปฏิเสธไม่ได้
และแน่นอนว่าเมื่อเรียนจบมาจากประเทศที่มีคุณภาพด้านการศึกษาในภาวะที่เศรษฐกิจมีโอกาสเติบโตได้อีก การจ้างงานก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น การเรียนจบจากประเทศจีนจึงเป็นการเพิ่มโอกาสได้งานที่ดีจากบริษัทสัญชาติจีนไปในตัว
คุณภาพด้านการศึกษาดีเป็นลำดับต้นๆ
หลายคนอาจติดภาพที่ว่าการศึกษาที่ดีและติดลำดับโลกจะต้องอยู่ที่โลกตะวันตกเท่านั้น ซึ่งหากมองมุมนั้นก็ไม่ถือว่าผิด
แต่ความเป็นจริงแล้ว หากเราคิดว่าคนจีนเป็นคนที่ฉลาดในเรื่องการค้าและการพัฒนาประเทศผ่านธุรกิจต่างๆ การศึกษาของประเทศน่าจะเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ในอดีตก็มีอัจฉริยะชาวจีนหลายรายอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์โลก แถมในปัจจุบันก็มีมหาวิทยาลัยจีนหลายแห่งที่ติดอันดับโลกและทำการเรียนการสอนในหลายสาขาวิชาเป็นภาษาอังกฤษ และได้รับการยอมรับในระดับโลกด้วย
ได้เรียนรู้ความแตกต่างทางวัฒนธรรมของจริง
นอกจากเป็นประเทศมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของโลก ทำให้มีความหลากหลายด้านภูมิศาสตร์ สิ่งแวดล้อมและที่สำคัญมากที่สุด คือ วัฒนธรรม
การไปเรียนและทำธุรกิจที่ประเทศจีนจะประสบความสำเร็จและเข้าถึงแก่นได้ จะต้องคำนึงถึงวัฒนธรรมของแต่ละแคว้นหรือคนพื้นถิ่น ประเทศจีนประกอบไปด้วยวัฒนธรรมและชนเผ่ามากถึง 56 เชื้อชาติ มีวัฒนธรรม ประเพณีและภาษาพื้นถิ่นเป็นของตนเองตามแต่ละพื้นที่ ยกตัวอย่างเช่น ในแคว้นยูนนานทางภาคใต้ของจีน จะมีความหลากหลายด้านศาสนาซึ่งสามารถพบพุทธศาสนาแบบจีน ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ลัทธิเต๋าและศาสนาพื้นเมือง ความเชื่อเหล่านี้อยู่ร่วมกันมาเป็นร้อยปี หากเราไปที่เขตการปกครองตนเองมองโกเลียใน การรับไวน์ข้าว (Chinese rice wine) ถือเป็นธรรมเนียมที่ต้องปฏิบัติเพื่อให้เข้ากับคนพื้นเมืองได้

คนจีนถือเรื่องวัฒนธรรมและมารยาททางสังคมเป็นเรื่องจริงจังมาก ดังนั้น การเรียนรู้ที่จะอยู่กับความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม จะทำให้เราเป็นคนเข้าใจโลกได้อย่างแน่นอน
ค่าเรียนในประเทศจีนนั้นไม่แพงมาก
หลายคนคิดว่าการไปเรียนต่างประเทศมีต้นทุนสูง ค่าใช้จ่ายแพงและมีหลายเรื่องที่ต้องคิดถึง แต่การเรียนที่ประเทศจีนมีข้อดีอย่างหนึ่ง คือ “ค่าเรียนถือว่าไม่ได้แพงมาก” (เงิน 5 บาทแลกได้ประมาณ 1 หยวน) หากเทียบกับค่าเรียนในโลกตะวันตกแล้ว ถือว่าแพงกว่ามาก และเมื่อเทียบกับค่าเล่าเรียนในประเทศไทย ความหลากหลายของสาขาวิชาและการยอมรับจากต่างประเทศแล้ว การไปเรียนที่ประเทศจีนถือว่ามีความคุ้มค่าในเรื่องของค่าเล่าเรียน
ยกตัวอย่างเช่น ปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์ (ปัญญาประดิษฐ์) มหาวิทยาลัยฟลินเดอร์ส์แห่งประเทศจีน มีค่าเล่าเรียนอยู่ที่ 36,000 หยวน (ประมาณ 175,655.12 บาท) ต่อปี หากเทียบกับมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาที่ทำการเรียนการสอนเรื่องปัญญาประดิษฐ์ในราคาที่ถูกที่สุดของปี 2020 จะตกอยู่ที่ประมาณ 9,900 ดอลลาร์ (ประมาณ 311,850 บาท) ต่อปี
ค่าเรียน AI ที่อเมริการ –> computersciencedegreehub.com
ดังนั้นการเรียนที่ประเทศจีนจึงมีข้อได้เปรียบเรื่องราคา แถมยังพ่วงด้วยคุณภาพและการรับประกันด้านอนาคตไม่แพ้การเรียนในโลกตะวันตกเลยทีเดียว
ได้ภาษาแบบ Double
ไม่ใช่เพียงแค่การเรียนทางวิชาการอย่างเดียวที่มีคุณภาพ แต่ในเรื่องของภาษาก็อาจทำให้คุณพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดเช่นกัน การมาเรียนที่ประเทศจีนจะทำให้คุณได้ภาษาจีนแมนดารินอย่างแน่นอนเพราะต้องสื่อสารในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ มีคนพูดภาษาจีนบนโลกใบนี้มากถึง 1,311 ล้านคน ทำให้โอกาสทางธุรกิจและเศรษฐกิจกว้างขึ้นมากกว่าเดิมด้วย และยังเป็นภาษาที่พูดกันในประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวันหรือแม้แต่ประเทศไทยที่มีย่านคนจีนอาศัยอยู่ด้วย
และแน่นอนว่าภาษาอังกฤษของคุณก็จะพัฒนามากขึ้น เพราะจะเจอคนต่างชาติต่างภาษาที่ไม่ใช่คนจีนมาเรียนในห้องเรียนเดียวกับคุณ และวิชาที่สอนเป็นภาษาอังกฤษจะช่วยให้คุณรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษในสาขาวิชาชีพเฉพาะมากขึ้นตามไปด้วย
จำนวนนักเรียนต่างชาติที่เข้าเรียนเพิ่มขึ้นทุกปี
การเข้ามาพบเห็นสังคมและวัฒนธรรมจีนด้วยตาตนเองหรือมองภาพต่างๆ ด้วยสายตาและความคิดของคนจีนโดยไม่ผ่านแว่นของสื่อสำนักใดอาจถือเป็นอีกหนึ่งจุดขายที่ทำให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเดินทางมายังประเทศจีน ประวัติศาสตร์จีนมีประเด็นให้ศึกษาเป็นจำนวนมาก และวัฒนธรรมก็มีความหลากหลายจนเรียกได้ว่าการอ่านหนังสือหรือการฟังผ่านบุคคลอื่นอาจเห็นภาพได้ไม่ชัดมากพอ
เช่นเดียวกับการศึกษาของประเทศจีนที่มีความหลากหลายของสาขาวิชา ความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งสามารถดึงดูดนักศึกษาให้เข้ามาศึกษาต่อที่ประเทศจีนได้ไม่ยาก จากข้อมูลตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา จำนวนนักศึกษาจากต่างประเทศเดินทางเข้ามาศึกษาต่อที่ประเทศจีนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2001 มีนักศึกษาจากต่างประเทศเพียงแค่ 61,869 คน แต่ในปี 2018 มีจำนวนมากถึง 492,185 คน หรือเพิ่มขึ้นมากถึง 8 เท่าในเวลา 17 ปี
2018: 492,185 | 2017: 489,200 |
2016: 442,773 | 2015: 397,635 |
2014: 377,054 | 2013: 356,499 |
2012: 328,330 | 2011: 292,611 |
2010: 265,090 | 2009: 238,184 |
2008: 223,499 | 2007: 195,503 |
2006: 162,695 | 2005: 141,087 |
2004: 110,844 | 2003: 77,715 |
2002: 85,822 | 2001: 61,869 |
ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลและเจตนารมณ์ของรัฐบาลจีนที่ต้องการพัฒนาประเทศด้วยการศึกษาพร้อมกับเผยแพร่วัฒนธรรมและภาพลักษณ์ในเชิงบวกให้กับต่างชาติได้รับรู้ รวมไปถึงให้เข้ามาสัมผัสด้วยตนเองผ่านทุนการศึกษา ในรายงานปี 2019 พบว่าประเทศจีนใช้การศึกษาในฐานะที่เป็น “อำนาจละมุน” (Soft Power) เพื่อเป็นเครื่องมือสร้างอิทธิพลระหว่างประเทศผ่านสถาบันการศึกษาและสำนักคิดต่างๆ ในแต่ละประเทศหรือผ่านโครงการการศึกษาในรูปแบบของทุน ดังนั้น เราอาจพูดได้ว่าตัวเลขระดับหลักแสนอาจเป็นกลุ่มทรัพยากรมนุษย์ระดับหัวกะทิแห่งโลกอนาคตก็เป็นได้
เมื่อเราอ่านมาจนถึงตรงนี้แล้ว ทำไมเราถึงไม่ลองไปเรียนต่อที่ประเทศจีนดูบ้างล่ะ?
Owl Campus Team