หลักสูตรการศึกษาแบบ มอนเตสซอรี่ ถูกคิดค้นขึ้นโดย Maria Montessori ผู้ซึ่งได้ทำการศึกษาการพัฒนาของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ และได้พัฒนาหลักสูตรการศึกษาที่จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาอย่างเป็นธรรมชาติของเด็ก

เมื่อเด็กๆ ได้รับการตอบสนองในความต้องการพื้นฐานทั้งหลาย อย่างเช่น ความมั่นคงและปลอดภัย, ความรัก, อาหาร และที่อยู่อาศัยแล้ว การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้โดยธรรมชาติอยู่แล้ว หลักสูตร มอนเตสซอรี่ เป็นการศึกษาที่ขึ้นอยู่กับตัวเด็ก สถานที่ที่จัดเตรียมไว้ และครู หรือพ่อแม่ นักเรียนในระบบมอนเตสซอรี่จะเรียนรู้ด้วยวิธีการและความเร็วที่ต่างกันไปในแต่ละคน

Maria Montessori

The Montessori Curriculum

หลักสูตรมอนเตสซอรี่ นั้นจะมีความแตกต่างจากหลักสูตรการเรียนอื่น ๆ ที่มักจะต้องการให้นักเรียนในห้อง เรียนเหมือนกันในระยะเวลาเดียวกัน และใช้วิธีเหมือนกันในการเรียน แต่หลักสูตรมอนเตสซอรี่นั้นจะมองว่า ขบวนการเรียนรู้นั้นไม่สามารถกำหนดได้ด้วยอายุของเด็ก เพราะฉะนั้นในบางโรงเรียนอาจจัดห้องเรียนให้นักเรียนต่างอายุเรียนรวมกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสำหรับหลักสูตรมอนเตสซอรี่ ที่เด็กอายุ 3 ปีอาจจะถูกจัดให้อยู่ในห้องเรียนเดียวกันกับเด็กอายุ 5 ปี ที่มีพัฒนาการทางการเรียนรู้อยู่ในช่วงเดียวกัน

โดยสำหรับในประเทศไทยจะมีการจัดแบ่งช่วงอายุออกเป็น 3 ช่วงอายุ

From Birth to 3 Years Old

อย่างที่เข้าใจกันว่า 3 ปีแรกของเด็กนั้นมีส่วนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของแต่ละคน หลักสูตรมอนเตสซอรี่เรียกช่วงอายุนี้ว่า “spiritual embryo” ซึ่งในช่วงนี้เด็กจะซึมซับประสบการณ์ ความสัมพันธ์ ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ รูปภาพ หรือภาษา จากสภาพแวดล้อมรอบตัว  ประสบการณ์ชีวิตที่เด็ก ๆ ได้พบเจอในช่วงนี้จะช่วยก่อร่างสร้างสมอง เซลล์สมองสร้างเครือข่ายเส้นใย ซึ่งจะอยู่กับเด็ก ๆ ไปตลอดชีวิต

ในช่วงอายุ 0 – 3 ปี หลักสูตรมอนเตสซอรี่จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาทางภาษา (การพูด), การประสานกันของการเคลื่อนไหว และการช่วยเหลือตัวเอง ซึ่งพัฒนาการเหล่านี้จะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจ และช่วยให้พวกเขาได้ค้นพบศักยภาพของตนเอง

หลักสูตร มอนเตสซอรี่ Montessori
มอนเตสซอรี่ Montessori ในช่วงอายุ 0 – 3 ปีจะเน้นการเรียนรู้ผ่านการเล่นเป็นหลัก

การเรียนสำหรับเด็กในช่วงอายุนี้จะเป็นการเรียนรู้ผ่านการเล่น (Play based) เป็นหลัก เมื่อเด็กเริ่มเล่นด้วยกันและเริ่มที่จะพัฒนา “Social Skill” เช่นการฟัง การร่วมมือกัน และ การควบคุมตัวเอง นอกจากนี้ยังมีการเรียนเพื่อพัฒนา ทักษะการคิด (Cognitive skill) ด้วย โดยครูอาจจัดสรรเวลาบางส่วนมาเพื่อการเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรม และทักษะที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน  ถึงแม้ว่าเด็ก ๆ ในวัยนี้อาจไม่ได้มีสมาธิจดจ่อได้เป็นเวลานาน เพราะเด็กๆก็มักจะสงสัยในอะไรใหม่ ๆ และชอบที่จะสำรวจ ห้องเรียน หลักสูตรมอนเตสซอรี่จึงจัดห้องเรียนให้ตอบสนองต่อความช่างสงสัยและชอบที่จะสำรวจของเด็ก ๆ

From 3 to 6 Years Old

ในระหว่างช่วงอายุ 3 – 6 ปี เด็ก ๆ จะอยู่ภายใต้ขบวนการพัฒนาตัวตนและบุคลิกภาพของตนเอง การใช้หลักสูตรมอนเตสซอรี่จะช่วยให้พวกเขาสามารถซึมซับความรู้และประสบการณ์ ช่วยในการสร้างตัวตนของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์

From 6 to 12 Years Old

หลักสูตรมอนเตสซอรี่ของเด็กอายุ 6 – 12 ปี จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงอายุคือ ประถมต้น 6 – 9 ปี และ ประถมปลาย 10 – 12 ปี โดยการเรียนของช่วงวัยนี้จะสอนให้เด็ก ๆ มีมุมมองกว้างขวาง จะไม่มีการเรียนเป็นรายวิชาแยกเหมือนหลักสูตรอื่น ๆ แต่จะเป็นการนำหลาย ๆ วิชามาบูรณาการ เนื่องจากหลักสูตรมอนเตสซอรี่เชื่อว่าทุก ๆ สิ่งในจักรวาลมีการเชื่อมโยงกันหมด

หลักสูตรมอนเตสซอรี่ของเด็กอายุ 3 – 6 ปี

หลักสูตรมอนเตสซอรี่สำหรับเด็กอายุ 3 – 6 ปี จะถูกแบ่งออกไปใน 5 หัวข้อหลักด้วยกันคือ

Practical Life

Practical Life เป็นกิจกรรมต่างๆ ที่มีจุดมุ่งหมายคือการดูแลตัวเอง, ดูแลผู้อื่น และดูแลสภาพแวดล้อม ตัวอย่างเช่น การล้างจาน, จัดโต๊ะอาหาร และ จัดดอกไม้ โดยที่จะมีการสอดแทรกการสอนมรรยาทและสมบัติผู้ดี (grace and courtesy) เข้าไปด้วย การทำกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้เด็ก ๆ ได้ฝึกการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายและมือ และได้สำรวจสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวของพวกเขา นอกจากนี้เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ที่จะทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายตั้งแต่เริ่มต้นจนสำเร็จ ซึ่งพวกเขาจะพัฒนาความมุ่งมั่น, ระเบียบวินัยในตัวเอง, สมาธิ และความมั่นใจในตัวเอง

Sensorial

เด็ก ๆ ในช่วงอายุนี้ จะเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสมากกว่าการใช้สมองคิดวิเคราะห์ อุปกรณ์ประสาทรับรู้ หรือ Sensorial Materials จึงเป็นเครื่องมือที่ทำให้พวกเขาพัฒนาประสาทสัมผัสในแต่ละด้าน อุปกรณ์แต่ละชิ้นจะถูกออกแบบมาโดยอิงหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่จะแสดงถึงคุณสมบัติเช่น ขนาด, สี, พื้นผิว, รูปทรง และน้ำหนัก โดยที่อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยให้เด็ก ๆ สามารถเข้าใจความหมายของสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น และสามารถสำรวจสิ่งอื่น ๆ รอบตัว และเชื่อมโยงเข้ากับสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้ในห้องเรียน

Language

เมื่อเด็กเข้าสู่ช่วงอายุ 3 ปีพวกเขาจะค่อย ๆ พัฒนาทางภาษาที่ได้ซึมซับมาจากสภาพแวดล้อมรอบตัว พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะเขียนโดยเริ่มจากการใช้ประสาทสัมผัส (การได้ยินและการสัมผัส) และจะค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะอ่านได้โดยธรรมชาติ กิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาษารวมไปถึง การเรียนรู้เกี่ยวกับภูมิศาสตร์, ประวัติศาสตร์, ศิลปะ และดนตรี ศาสตร์เหล่านี้ช่วยให้เด็ก ๆ รู้จักสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และสอนให้เด็ก ๆ เคารพและรักสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวพวกเขา

Mathematics

คณิตศาสตร์จะช่วยให้เด็ก ๆ เรียนรู้และเข้าใจ concept ของตัวเลข โดยเริ่มจากการเรียนผ่านสิ่งของหรืออุปกรณ์ที่เด็ก ๆ สามารถหยิบจับได้ด้วยมือจริง ๆ จะค่อย ๆ นำไปสู่ความเข้าใจ concept ที่เป็นนามธรรมได้ ประสาทสัมผัสที่เด็ก ๆ ได้รับจากการเรียนผ่านของเล่นหรือสิ่งของที่จับต้องได้ จะเป็นพื้นฐานที่ดีให้เด็ก ๆ สามารถเรียนพีชคณิตและเรขาคณิตได้ในอนาคต

Culture

กิจกรรมทางวัฒนธรรมช่วยให้เด็ก ๆ ได้รับประสบการณ์จากหลาย ๆ แง่มุม ทั้งดนตรี นิทานเรื่องราวต่าง ๆ รูปภาพศิลปะ และวัตถุต่าง ๆ จากชุมชนและสังคมที่เด็ก ๆ อาศัยอยู่ ศาสตร์ต่าง ๆ ที่รวมอยู่ในการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมนี้ ประกอบด้วย ภูมิศาสตร์, วิทยาศาสตร์, สัตววิทยา และพฤกษศาสตร์  ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนประกอบด้วย ลูกโลก จิ๊กซอร์แผนที่ และแฟ้มรวมรูปภาพจากประเทศต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมที่ต่างกัน

หลักสูตรมอนเตสซอรี่ของเด็กอายุ 6 – 12 ปี

หลักสูตรมอนเตสซอรี่ของเด็กอายุ 6 – 12 ปี จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงอายุคือ ประถมต้น 6 – 9 ปี และ ประถมปลาย 10 – 12 ปี การเรียนรู้จะประกอบด้วย 5 Great Lessons ซึ่งจะประกอบด้วยกลุ่มสาระวิชาต่าง ๆ กันไปในแต่ละบทเรียน บทเรียนทั้ง 5 นี้ถูกออกแบบมาเพื่อปลุกจิตนาการ, ความช่างสงสัย และ ความหลงไหลในความสร้างสรรค์และ ความสามารถทางนวัตกรรมของมนุษย์

Coming of the Universe and the Earth

การกำเนิดของจักรวาลและโลก ตั้งแต่วันแรกของการเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษา จะมีการสอนเกี่ยวกับการกำเนิดของจักรวาล และโลกของเรา โดยครูจะจะมีการแบ่งบทเรียนออกเป็นบทเรียนย่อย ๆ โดยมีการนำเสนอชาร์ตรูปภาพกว่า 80 ภาพ ซึ่งครูจะมุ่งเน้นไปที่ความสงสัย และกระตือรือร้นของเด็กแต่ละคน เพื่อที่จะนำเสนอหัวข้อใหม่ ๆ เช่น ดาราศาสตร์, วิชาเคมี, วิชาฟิสิกส์, ธรณีวิทยา และภูมิศาสตร์ เมื่อนักเรียนเปิดดูชาร์ตแต่ละอัน พวกเขาก็จะเห็นกว่าพวกเขาอยากเรียนเกี่ยวกับเรื่องอะไร

จากนั้นเด็กแต่ละคนก็จะเรียนรู้เกี่ยวกับหัวข้อที่พวกเขาเลือกในอัตราความเร็วที่ต่างกันไปในแต่ละคน ในขณะเดียวกันก็จะเห็นว่าเพื่อน ๆ เลือกหัวข้อที่แตกต่างกันออกไป นี่คือขบวนการสร้างความช่างสงสัย, ความกระตือรือร้น และแรงบรรดาลใจที่จะช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับจักรวาล, โลก และส่วนประกอบอื่น ๆ ทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกัน

Coming of Life

การกำเนิดของสิ่งมีชีวิต หัวข้อนี้รวมไปถึง timeline การกำเนิดของสิ่งมีชีวิต ที่ถูกแบ่งออกเป็นยุค, การวิวัฒนาการ, การสูญพันธุ์ ซึ่งเด็ก ๆ จะได้เรียนเกี่ยวกับไดโนเสาร์ สัตว์ พืช และ จุลชีพ และความเกี่ยวข้องกันของสิ่งเหล่านั้น ผ่านหัวข้อและการทดลองต่าง ๆ

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อพูดถึงการสังเคราะห์ด้วยแสง อาจแสดงด้วยรูปภาพในชาร์ต เกี่ยวกับการทำงานของส่วนต่าง ๆ ในต้นไม้ เช่นรากดูดซึมแร่ธาตุ ใบไม้ดูดซับแสงอาทิตย์ และ CO2 และปล่อยออกซิเจนออกมา โดยวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ใน Second Great Lesson คือ “การสอนความแตกต่างของสิ่งมีชีวิต” ผ่าน ชีววิทยา พฤกษศาสตร์ และถิ่นที่อยู่

Coming of Human Beings

การกำเนิดของมนุษย์บนโลกใบนี้ อะไรทำให้มนุษย์พิเศษกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ? มนุษย์เราวิวัฒนาการจากการอาศัยในถ้ำ และจุดไฟจากกิ่งไม้ มาใช้เครื่องมือและเครื่องจักรได้อย่างไร ? มนุษย์มีอะไรที่สัตว์ไม่มี และอะไรทำให้เราแตกต่างออกไป ? ครูผู้สอนในหลักสูตรมอนเตสซอรี่จะมุ่งเน้นการถามคำถามเหล่านี้ เพื่อปลดล็อกความคิดสร้างสรรค์ในจิตใจของเด็ก ๆ

และสิ่งที่ทำให้มนุษย์เราต่างจากสัตว์อื่น ๆ ก็คือสติปัญญา, มือทั้งสอง และอารมณ์ความรู้สึก จากการค้นพบและประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ ทำให้มนุษย์กลายเป็น dominant species บนโลกใบนี้ มนุษย์สรรสร้างสิ่งต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีการเกษตร, ที่อยู่อาศัย, ระบบการเดินทาง, ยารักษาโรค และ ศิลปะ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในบทเรียนนี้ก็คือเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ การดำรงอยู่ของพวกเค้า, ความรับผิดชอบต่อสังคม โลก และจักรวาลที่เขาอาศัยอยู่

Communication in Signs

การสื่อสารและการเขียน มนุษย์ใช้ภาษา, รูปภาพ และสัญลักษณ์ ในการสื่อสารกันมายาวนาน จากการใช้เสียงคำรามและภาษามือ เปลี่ยนมาเป็นอักษรเขียน และการพิมพ์ มนุษย์มักจะหาวิธีใหม่ ๆ ในการจดบันทึกสิ่งที่เค้าเห็นและรู้สึก ในรูปแบบต่าง ๆ

ในบทเรียนที่ 4 นี้ ครูผู้สอนจะสอนลงดีเทลเกี่ยวกับเรื่องเล่าพื้นเมือง, เทวตำนาน, ภาษา, ตัวอักษร, แกรมม่า, โครงสร้างประโยค และคำศัพท์ต่าง ๆ บทเรียนนี้จะช่วยให้เด็ก ๆ ได้ฝึกหัดในด้านการอ่าน, การเขียน และภาษาศาสตร์ นอกจากนี้ยังได้ทำความเข้าใจในประวัติศาสตร์, เรื่องเล่า, วรรณคดี, บทกวี และดนตรี อีกด้วย

The Story of Numbers

เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเลข ภาษาที่คนทั่วโลกใช้ร่วมกันมากที่สุดก็คือ คณิตศาสตร์ โดยเป็นเวลากว่า 30,000 ปีที่มนุษย์ได้สร้างระบบคณิตศาสตร์ขึ้นมา ซึ่งได้ถูกพัฒนาจากคอนเซ็​ปต์ 0 – 1 ไปเป็น คณิตศาสตร์, เรขาคณิต และอื่น ๆ อีกมากมาย

เรื่องราวของตัวเลขช่วยให้นักเรียนสามารถต่อยอดการเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ตัวเลขในด้านต่าง ๆ ได้อีก เช่นการ ประดิษฐ์ปฏิทิน, หลักการและหน่วยการตวง และ ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ

Assessment

หลักสูตรมอนเตสซอรี่ จะมีการวัดผลอย่างต่อเนื่อง โดยการวัดผลจะเป็นแบบ “Formative Assessment” ซึ่งหมายถึงว่าจะมีการประเมินพัฒนาการของนักเรียนแต่ละคนอย่างต่อเนื่องตลอดการเรียนการสอน จะมีการสังเกตุและจดบันทึกการเรียนรู้ของนักเรียน เพื่อที่ครูผู้สอนจะสามารถติดตามพัฒนาการของนักเรียนแต่ละคนได้ ในระดับประถมอาจมีการใช้เครื่องมือในการวัดผลเพิ่มเติม เช่น one-on-one conference หรือผลงานจากการเรียนต่าง ๆ เพื่อที่จะประเมินระดับการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน

หลักสูตรมอนเตสซอรี่ จะมีการวัดผลโดยวิธี Formative Assessment
หลักสูตรมอนเตสซอรี่ จะมีการวัดผลโดยวิธี Formative Assessment

ในการประเมินผลสำหรับเด็กเล็กอายุ 0 – 6 ปี ครูผู้สอนอาจมีการทำเป็น check list เพื่อเช็คพัฒนาการในแต่ละด้านเช่นการเข้าสังคม กล้ามเนื้อมัดเล็ก/ใหญ่ การช่วยเหลือตัวเอง เช่น

  • เด็กมีการเลือกของเล่นอย่างไร
  • เด็กมีการพลิกแพลงเล่นของเล่นอย่างไร
  • เด็กมีการขอความช่วยเหลือไหม
  • เด็กมีการเข้าไปแทรกแซงการเล่นของเพื่อนๆไหม
  • ให้อธิบายการ interact ของเด็กกับเพื่อน ๆ
  • เด็กสามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานแค่ไหน ไม่อยู่นิ่งหรือเปล่า

ในประเทศไทย หลักสูตรมอนเตสซอรี่ กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะสำหรับชั้นเด็กเล็ก Pre-school และ ระดับอนุบาล หากผู้ปกครองสนใจโรงเรียนในหลักสูตรมอนเตสซอรี่สามารถเข้าชมรายชื่อโรงเรียนได้ที่นี่ รายชื่อโรงเรียนมอนเตสซอรี่

การเลือกหลักสูตรมอนเตสซอรี่ให้เด็ก ๆ เรียนนั้นถือว่าน่าสนใจมาก ๆ ด้วย แผนการสอน ที่แตกต่าง เน้นพัฒนาการในการเรียนรู้ของเด็กให้เป็นไปอย่างธรรมชาติอีกด้วย

Owl Campus Team